นิทานเมาคลี
โดย ร.ต.สมบูรณ์ สิงห์มนัส
นิทาน เมาคลีลูกหมาป่า (The Jungle Book; 1894) ที่ใช้กันมาเป็นเรื่องที่ โจเซฟ รัดยาร์ด คิปลิง (Joseph Rudyard Kipling) กวีและนักเขียนชาวอังกฤษ เกิดที่เมืองมุมไบ (บอมเบย์) ประเทศอินเดีย ประพันธ์ไว้ ซึ่งปรมาจารย์ผู้ริเริ่ม บุกเบิกวิชาลูกเสือสำรอง ครั้งเริ่มต้นนั้น ได้ร่วมกันอ่าน และศึกษาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องของนิทาน แล้วได้นำมาคัดกรองเนื้อเรื่อง นำส่วนที่สำคัญแล้วย่อมาสำหรับเด็กเพื่อจะนำไปสอนให้กับลูกเสือสำรองระดับปฐมวัย ในชั้นประถมปีที่ 1 ถึง ชั้นประถมปีที่ 3 ที่จะต้องรู้เรื่องเมาคลีลูกหมาป่า เพราะนิทาน ตอนที่นำมานี้ เป็นเบื้องหลังของลูกเสือสำรองอยู่หลายๆ อย่าง
เมาคลีลูกหมาป่านี้ คุณแม่อาจารย์ฉวีผ่อง นันทพล เป็นผู้รวบรวมเนื้อหาสาระและความรู้ที่เหมาะสำหรับการเล่าให้ลูกเสือสำรอง ได้รับความสนุกสนาน พร้อมกันนั้นได้เป็นการสอนให้ลูกเสือได้เรียนรู้พฤติกรรมของตัวละครแต่ละตัว รวมถึงเป็นหลักสูตรประกอบการเรียนของลูกเสือสำรอง ซึ่งหาดูได้ยากในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เสียเวลา เชิญท่านสนุกสนานไปกับนิทาน “เมาคลีลูกหมาป่า”
ภาคที่ 1 ผาประชุม ตอนที่ 1 แชร์คาน
ณ ป่าแห่งหนึ่งในประเทศอินเดีย ซึ่งป่านี้อยู่ใกล้กับเทือกเขา ซิโอนี เป็นป่าที่มีสัตว์อาศัยอยู่นาๆชนิด เช่น เสือ สุนัขป่า กวาง ลิง สุนัขจิ้งจอก งู เป็นต้น สัตว์เหล่านี้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เพราะมีหัวหน้าคอยควบคุม มีกฎ ระเบียบ วินัยอยู่กันด้วยความสามัคคี รู้จักเคารพเชื่อฟังผู้อาวุโสกว่า
วันหนึ่งมีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งออกไปตัดฟืนในป่า พวกเขานำลูกน้อยวัยเพิ่งหัดเดินไปกับเขาด้วย ครั้นพอถึงยามพลบค่ำ อากาศในป่าช่างหนาวเย็นจับใจ ชายผู้เป็นพ่อจึงตัดสินใจพักค้างคืนในป่าแห่งนี้ เขาจัดการก่อไฟกองใหญ่ขึ้นเพื่อคลายความหนาวเย็น และป้องกันสัตว์ร้ายที่จะเข้ามาในเวลากลางคืน แล้วทั้งสามก็หลับใหลด้วยความเหนื่อยล้า
ขณะที่ชายตัดฟืนและครอบครัวกำลังหลับอยู่นั้นเอง ได้มีเสือโคร่งใหญ่ตัวหนึ่งชื่อว่า แชร์คาน (รูปร่างใหญ่โต มีลายพาดกลอนสีดำ) ออกหากินในยามดึก เจ้าเสือแชร์คาน เดินผ่านมาเห็นแสงไฟที่ก่อขึ้นในป่า มันจึงแน่ใจว่าต้องมีเหยื่อให้จับกินแน่ๆ เจ้าเสือแชร์คานจึงค่อยๆ เดินย่องเข้าไปอย่างเงียบๆ เมื่อใกล้เข้ามาเจ้าเสือแชร์คานจึงเห็นมนุษย์ 3 คน นอนอยู่เคียงกัน มันจึงคิดในใจว่า มื้อนี้จะได้ลิ้มรสเนื้อมนุษย์อันโอชะ ดังนั้นมันจึงค่อยๆ คืบคลานเข้าไปอย่างช้าๆ หมายจะจับเด็กน้อย ลูกของคนตัดฟืนกินเป็นอาหาร
ในขณะที่เจ้าแชร์คาน ค่อยๆ คืบคลานเข้าไปหาเหยื่อโดยไม่ได้ละสายตาออกจากเหยื่อเลยแม้แต่น้อย เจ้าแชร์คานนั้นลืมนึกไปว่า มีกองไฟกองใหญ่ขวางหน้าตนเองอยู่ พลันขาของมันจึงเหยียบพลาดเข้าไป
ในกองไฟ ทำให้ไฟลุกลวกขาของมัน “โฮก! ร้อน ร้อน ร้อนมาก” มันส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและเจ็บปวด แล้ววิ่งเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่นั้นมา เจ้าเสือแชร์คาน ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากกองไฟที่ทำให้ขาของมันพิการ สัตว์ในป่าทั้งหลาย จึงขนานนามเจ้าเสือซุ่มซ่ามตัวนี้ว่า
“แชร์คาน” ซึ่งหมายถึง “ขาเก”
ภาคที่ 1 ผาประชุม ตอนที่ 2 กำเนิดเมาคลี
หลังจากที่แชร์คานพลาดจากเหยื่อเด็กน้อยคนนั้น เพราะตัวเองเหยียบเข้าไปในกองไฟและวิ่งหนีเข้าไปในป่าลึกด้วยความเจ็บปวดแล้ว กล่าวถึงชายตัดฟืนและภรรยา ครั้นเมื่อได้ยินเสียงเสือร้องก็ตกใจ ต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปคนละทิศละทาง โดยไม่ได้นำลูกน้อยติดตัวไปด้วย ฝ่ายเด็กน้อย บัดนี้ได้ถูกพ่อ และแม่ทิ้งไว้ในป่าแต่เพียงลำพัง ครั้นเมื่อเด็กน้อยตื่นขึ้นมา ไม่เห็นหน้าพ่อ-แม่ของตน จึงออกเดินหาพ่อและแม่ไปเรื่อยๆ ซึ่งขณะนั้นเอง ได้มีพ่อ-แม่หมาป่าคู่หนึ่งออกมาหากินในบริเวณนั้น ได้พบเข้ากับเด็กชายตัวน้อย ผิวคล้ำ ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเดินเตาะแตะอยู่บริเวณนั้น ด้วยพ่อ-แม่หมาป่าไม่เคยเห็นมนุษย์มาก่อน จึงให้เกิดความสงสัยว่า เจ้าหนูน้อยผู้นี้เป็นสัตว์อะไร รูปร่างแปลกๆ ตัวดำ ไม่มีขน แต่ด้วยความน่ารักของเจ้าหนูน้อย ทั้งคู่จึงเกิดความสงสาร และนำเจ้าหนูน้อยผู้นี้เข้าไปไว้ในถ้ำของพวกมัน ซึ่งภายในถ้ำของพ่อ-แม่หมาป่านั้น ยังมีลูกน้อยอยู่อีกถึง 4 ตัวด้วยกัน ครั้นเมื่อพ่อ-แม่หมาป่านำเด็กน้อยไปรวมไว้กับลูกของพวกมันแล้ว อาหารมื้อแรกของเด็กน้อยก็คือนมของแม่หมาป่านั่นเอง ที่กินร่วมกับลูกหมาอีก 4 ตัว ยิ่งทำให้แม่หมาป่าเกิดความรักใคร่เอ็นดูเด็กน้อยผู้นั้นเหมือนลูกของตน และได้ตั้งชื่อเด็กน้อยคนนี้ว่า “เมาคลี” ซึ่งหมายถึง “ลูกกบ” นั่นเอง
ภาคที่ 1 ผาประชุม ตอนที่ 3 ทาบากิ
ต่อมาไม่นาน ในขณะที่ พ่อ-แม่หมาป่า และเมาคลีกำลังพักผ่อนอยู่ในถ้ำนั้นเอง ได้มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมีนามว่า “ทาบากิ” เป็นสุนัขจิ้งจอกที่มีนิสัยขี้เกียจ ชอบยุแหย่ เข้ามาขออาหารจากครอบครัวหมาป่า ที่ปากถ้ำ พ่อ-แม่หมาป่าเกิดความรำคาญจึงให้เศษอาหารแก่ “ทาบากิ” สุนัขจิ้งจอกผู้มีนิสัยไม่ชอบทำมาหากิน ชอบแต่ประจบสอพลอ เกียจคร้านและชอบกินของโสโครก พวกสัตว์ป่าจึงขนานนามมันว่า “ทาบากิ” ซึ่งหมายถึง “เหลือเดน” หรือ “เศษเดนนั่นเอง”
ขณะที่ ทาบากิ รับเศษอาหารจากครอบครัวหมาป่านั้น พลัน ทาบากิ ได้เหลือบไปเห็น เมาคลี ซึ่งมันแน่ใจว่าไม่ใช่ลูกหมาป่าแน่นอน จากนั้นมันจึงนำเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้ แชร์คาน ฟังว่า ในถ้ำของครอบครัวหมาป่ามีมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เมื่อ แชร์คาน ได้ฟังดังนั้นก็นึกขึ้นได้ทันทีว่า ต้องเป็นเด็กที่มันพบอยู่ในป่าวันนั้นแน่นอน มันจึงตรงไปที่ถ้ำของครอบครัวหมาป่า แต่ไม่สามารถเข้าไปในถ้ำของหมาป่าได้เนื่องจากปากถ้ำของครอบครัวหมาป่านั้นเล็กมาก แชร์คาน ทำได้เพียงแต่โผล่หัวไปที่ปากถ้ำ และตะโกนให้ครอบครัวหมาป่าส่งเด็กที่หมาป่าเลี้ยงไว้ให้ตน โดยอ้างว่า “มันคือเหยื่อของข้า มันหนีข้ามา ข้าพบมันก่อน มันเป็นของข้าอย่างชอบธรรม” พ่อหมาป่าตะโกนใส่ แชร์คานว่า “พวกเราหมาป่าเรารักอิสระ จะยอมเชื่อฟังก็แต่หัวหน้าฝูงของเราเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งของผู้ใด ลูกมนุษย์เป็นของเรา เราไม่ให้”
ภาคที่ 1 ผาประชุม ตอนที่ 3 ทาบากิ (ต่อจากตอนที่แล้ว)
แชร์คาน โกรธมากแต่ก็ทำอะไรครอบครัวหมาป่าไม่ได้ จึงคำรามไปก้องถ้ำราวกับเสียงฟ้าผ่าว่า
“ข้าขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ลูกมนุษย์เป็นของข้า ส่งมาให้ข้าเสียดีๆ” แม่หมาป่าซึ่งแอบอยู่ไกล พลันกระโดดออกมายืนเคียงข้างพ่อหมาป่า ดวงตาของหมาป่าทั้งสองจ้องเขมงไปที่ แชร์คาน และบอกว่า “ลูกมนุษย์เป็นของเรา เขาจะไม่ถูกฆ่า เขาจะอยู่กับฝูงของเรา ล่าสัตว์กับฝูงของเรา เจ้าจงจำไว้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะตามล่าเจ้า” แชร์คาน รู้ดีว่าไม่สามารถทำอะไรกับครอบครัวหมาป่าได้ในขณะนี้ แม้จะโกรธมากเพียงใดก็ตาม และกล่าวอาฆาตไว้ว่า “หมาป่าอย่างเจ้าดีแต่เห่าอยู่ในถ้ำ คอยดูนะพวกเพื่อนในฝูงหมาป่าของเจ้าจะต้องไม่พอใจที่เอาลูกมนุษย์มาเลี้ยง เด็กคนนั้นเป็นอาหารของข้า มันต้องตกมาเป็นเหยื่อให้ข้าขย้ำจนได้ เจ้ามันไอ้หน้าขี้ขโมย” แล้วเจ้าเสือแชร์คานก็เดินงุ่นง่านจากไปด้วยความโกรธ
ภาคที่ 1 ผาประชุม ตอนที่ 4 ผาประชุม
ครอบครัวหมาป่า เลี้ยงดูเมาคลีกับลูกทั้ง 4 ด้วยความรักใคร่ทะนุถนอม จนเมาคลีวิ่งได้ ซึ่งพ่อ-แม่หมาป่า ต้องปฏิบัติตามกฎของป่า โดยกฎของป่ามีว่า “หมาป่าครอบครัวใดมีลูก และลูกของหมาป่าเติบโตพอสมควรแล้วต้องพาไปให้ฝูงหมาป่าทั้งหลายได้รู้จัก และรับรองเข้าเป็นสมาชิกของฝูง
ณ ผาประชุม คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง เหล่าฝูงหมาป่าทั้งหลายต่างนั่งล้อมกันเป็นวงกลม โดยมีหมาป่าอาวุโส ขนสีเทาผู้เป็นหัวหน้านามว่า “อา เค ล่า” ยืนเป็นประธานอยู่บนแท่นหินประจำตัว
เมื่อถึงเวลาประชุม อาเคล่า ได้สั่งให้หมาป่าทุกตัวนำสมาชิกใหม่มาปรากฏตัวต่อหน้าฝูงหมาป่า โดยสมาชิกเก่าทั้งหลาย ต่างจะทยอยกันมาดมกลิ่นและพิจารณาเพื่อยอมรับสมาชิกใหม่ของฝูง โดยก่อนที่สมาชิกในฝูงหมาป่าจะมาดม อาเคล่า จะพูดว่า “จงดูให้ดีๆ” เหล่าสมาชิกหมาป่าต่างเดินเข้าไปดมลูกหมาป่าที่อยู่ในวงกลมและยอมรับให้เป็นสมาชิกใหม่ทุกตัว ยกเว้น เมาคลี ซึ่งสมาชิกเก่าเหล่านั้นพากันเดินผ่าน โดยไม่มีสมาชิกตัวใดดมหรือยอมรับเลยแม้สักตัวเดียว ทำให้พ่อ-แม่หมาป่าเป็นกังวลมาก
เจ้าเสือแชร์คาน ซึ่งหมอบสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ผาประชุม เมื่อเห็นว่าไม่มีหมาป่าตัวใดยอมรับเมาคลีให้เป็นสมาชิกของฝูง มันดีใจมาก จึงตะโกนให้ฝูงหมาป่าส่งตัว เมาคลี ไปให้ เนื่องจากเมาคลีไม่ได้เป็นสมาชิกของฝูง อีกทั้งตนเป็นผู้พบเด็กคนนี้ก่อน จึงเป็นสิทธิโดยชอบ ซึ่งขณะนั้นเอง อาเคล่า ได้พูดสำทับขึ้นอีกครั้งว่า “ดูให้ดีๆ หมาป่าทุกตัวจงดูให้ดี และพิจารณาด้วยความรอบคอบไม่ต้องฟังเสียงยุแหย่จากใคร” ขณะที่หมาป่าในฝูงกำลังสับสน ขัดแย้ง และโต้เถียงกันอยู่นั้นเอง พลันมีเสียงห้าวๆ เสียงหนึ่ง ตะโกนมาจากทางด้านหลังของที่ประชุมว่า “ข้าขอรับรองเด็กคนนี้เอง โดยข้ารับรองว่าจะสอนกฎของป่าให้กับเด็กคนนี้” เสียงนั้นคือเสียงของหมีเฒ่าสีน้ำตาล มีนามว่า “บาลู” (บาลูเป็นครูของป่า เป็นที่ยอมรับนับถือของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย) แต่อย่างไรก็ตามเหล่าสมาชิกหมาป่าในที่ประชุมนั้นก็ยังไม่พอใจ ต่างโต้เถียงกันว่า “ตามกฎของหมาป่า การรับรองสมาชิกต้องมี ตั้งแต่ 2 เสียง ขึ้นไป”
แต่แล้ว...พลันก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของที่ประชุมอีกครั้ง พร้อมกับปรากฏเงาดำ กระโดดลงมาจากใต้ต้นไม้อย่างปราดเปรียวพร้อมกล่าวว่า “เราขอรับรองเจ้าเด็กน้อยนี้อีก 1 เสียง” เจ้าของเสียงนั้นก็คือ เสือดำหนุ่ม นามว่า “บาเคียร่า” แต่ทว่าได้รับการปฏิเสธจากสมาชิกหมาป่า โดยให้เหตุผลว่า “นอกจาก บาลู ซึ่งเป็นครูของป่า และเหล่าสมาชิกหมาป่าด้วยกันแล้ว สัตว์อื่นที่ไม่ใช่หมาป่า ไม่สามารถรับรองได้” บาเคียร่า จึงขอแลกซากวัวป่าที่ตนเพิ่งล่ามาได้กับใครก็ได้ที่สนับสนุนให้เมาคลีเป็นสมาชิกของฝูง เหล่าหมาป่าทั้งหลายเมื่อได้ยินดังนั้นต่างให้การสนับสนุนทันที แล้วจึงพากันวิ่งไปยังทิศทางที่ บาเคียร่า บอกทางให้โดยไม่สนใจเมาคลีเลยแม้แต่น้อย ส่วนแชร์คาน เมื่อเห็นเหตุการณ์พลิกผันไปเช่นนั้นจึงโกรธ และส่งเสียงคำรามอาฆาตเมาคลี ซึ่ง เมาคลีก็มิได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะเมาคลีเป็นลูกมนุษย์ผู้มีปัญญา
พ่อ-แม่หมาป่าดีใจมาก นำเมาคลีกลับไปยังถ้ำของตน โดยมี บาลู รับเป็นครูสอบกฎของป่า และการดำรงชีวิตในป่าร่วมกับสัตว์อื่นๆ ส่วนบาเคียร่า รับอาสาที่จะสอนวิธีการล่าสัตว์ การย่องเงียบ การคืบคลาน และสิ่งต่างๆ อีกมากมาย ให้กับเมาคลี
จากนั้นเป็นต้นมาเมาคลี ได้ชื่อว่าเป็นลูกหมาป่า อย่างสมบูรณ์ ภายใต้การสั่งสอนดูแลจากพ่อ-แม่หมาป่า ตลอดจน บาลู และบาเคียร่า ทำให้เมาคลีอยู่ในป่าได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข
ภาคที่ 2 ลักพาเมาคลี
ความเดิมตอนที่แล้ว สามีภรรยาคู่หนึ่งเข้าไปตัดฟืนและค้างคืนในป่า เสือแชร์คานมาพบเข้า ด้วยความประมาทรีบเร่งเข้าไปหมายจะกินเด็กน้อย แต่พลาดพลั้งเหยียบเข้าไปในกองไฟ จึงร้องเสียงดังด้วยความตกใจ และเจ็บปวด ทำให้สามีภรรยาตกใจต่างวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง โดยทิ้งลูกน้อยไว้ในป่าแต่เพียงลำพัง ครั้นพ่อ-แม่หมาป่าผ่านมาเห็นเข้าจึงนำไปเลี้ยง และตั้งชื่อว่า “เมาคลี”
ตอนที่ 1 เมาคลีเข้าฝูง
ครั้นเมื่อเหล่าฝูงหมาป่าตกลงยอมรับเมาคลี เข้าเป็นสมาชิกของฝูงแล้ว พ่อและแม่หมาป่าจึงพาเมาคลี กลับไปยังถ้ำของตน โดยมีบาลู หมีเฒ่าผู้เป็นครูของป่า และบาเคียร่า เสือดำผู้กล้าหาญและชาญฉลาด คอยช่วยกันดูแลสั่งสอนเมาคลีอย่างใกล้ชิด โดยหมีเฒ่าบาลู รับเป็นครูสอนให้รู้จักกฎของป่า การดำรงชีวิตในป่า การอยู่ร่วมกันกับสัตว์อื่นๆ อย่างมีความสุข ส่วนเจ้าเสือแชร์คาน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มันรู้สึกผิดหวังเป็นอันมาก ทั้งเสียหน้า เสียใจ และเจ็บแค้นจนแน่นอก
ในขณะที่เสือดำบาเคียร่า ยังคงสอนให้เมาคลีรู้จักการล่าสัตว์ รู้จักกฎของการล่าสัตว์ในป่า การเดิน การวิ่ง และการเข้าหาเหยื่ออย่างชาญฉลาด โดยการสอนของเสือดำบาเคียร่านั้น จะเป็นแนวการสอนแบบสั้นๆ ง่ายๆ เนื่องจากเมาคลี เป็นเด็กฉลาดและมีความจำดี จึงปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ทำให้เมาคลี อยู่ในป่าได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข
ภาคที่ 2 ลักพาเมาคลี ตอนที่ 1 เมาคลีเข้าฝูง (ต่อจากตอนที่แล้ว)
เมาคลีอยู่กับฝูงหมาป่าอย่างมีความสุข และฝูงหมาป่าต่างก็รักเมาคลี เพราะเมาคลี มีจิตใจโอบอ้อมอารี สุภาพอ่อนน้อมคอยช่วยเหลือฝูงหมาป่าอยู่เสมอ อีกทั้งปฏิบัติตามคำสอนของหมีเฒ่าบาลู และเสือดำบาเคียร่า อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ทั้งสองยังสอนให้เมาคลีรู้จักภาษาของสัตว์ในป่า การรู้จักนิสัยใจคอของสัตว์อื่นๆ ตลอดจนการเลือกคบสัตว์ในป่า
หมีเฒ่าบาลู และเสือดำบาเคียร่า ครูทั้งสองต่างรังเกียจสัตว์ชนิดหนึ่งคือพวก “ลิงบันดาลก” บันดาลกเป็นลิงนิสัยไม่ดี สกปรก ไม่มีระเบียบ ชอบก่อความเดือดร้อนวุ่นวายจนไม่มีสัตว์ชนิดใดในป่า อยากสมาคมด้วย แต่เมาคลีก็ยังคบหากับเหล่าลิงบันดาลก ถึงแม้ว่าหมีเฒ่าบาลู และเสือดำบาเคียร่า จะตักเตือนหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่เมาคลี กลับไม่เชื่อฟัง จนสุดท้ายลิงบันดาลกได้ก่อเรื่องให้กับเมาคลีจนได้
ภาคที่ 2 ลักพาเมาคลี ตอนที่ 2 บันดาลก ลักพาเมาคลี
วันหนึ่งขณะที่หมาป่าทั้งหลายรวมถึงเมาคลี กำลังหลับใหล (หมาป่าเป็นสัตว์หากินในเวลากลางคืน ซึ่งเมาคลีเป็นสมาชิกของหมาป่า จึงหากินในเวลากลางคืน เช่นกัน) เหล่าบันดาลิงบันดาลก ซึ่งมีความพยายามที่จะเอาเมาคลี ไปเป็นหัวหน้าฝูงของพวกตนให้ได้ ดังนั้นพวกมันจึงแอบมาอุ้มเอาตัวเมาคลีตอนที่กำลังหลับ โดยดึงขึ้นไปบนต้นไม้ จากนั้นมันจะโยน-รับ ต่อกันเป็นช่วงๆ จากต้นไม้ต้นหนึ่ง ไปยังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง ส่งต่อกันไกลออกไปเรื่อยๆ เพื่อจะเอาเมาคลีไปไว้ที่วังเย็น
ขณะนั้นเมาคลีตกใจตื่นขึ้นมา ด้วยความสับสน และหวาดกลัว เหตุใดจึงมาอยู่ในหมู่ลิงบันดาลก ทำให้เมาคลีนึกถึงคำสอนของครูทั้งสองคือบาลู และบาเคียร่า ที่คอยพร่ำสอนอยู่เสมอเรื่องการคบหากับลิงบันดาลก ว่าจะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้ ทำให้เมาคลีรู้สึกเสียใจ
ขณะนั้นพญาเหยี่ยวนามว่า “จิล” บินอยู่บริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์เหล่าฝูงลิงบันดาลกกระทำกับเมาคลีโดยตลอด เมาคลีเมื่อเห็นพญาเหยี่ยว จิล บินอยู่บริเวณนั้น จึงใช้ภาษาเหยี่ยวแจ้งกับพญาเหยี่ยวจิลไปว่า “ท่านกับข้า เลือดเนื้อเดียวกัน ช่วยกรุณาไปบอก บาลู และ บาเคียร่า ด้วยว่าข้าถูกพวกลิงบันดาลกลักพาตัวไป” พญาเหยี่ยวจิลเมื่อเห็นว่าเมาคลีพูดภาษาของตนได้ จึงเต็มใจที่จะช่วยเมาคลี แล้วจึงนำข่าวไปบอก บาลู และบาเคียร่า ว่าขณะนี้เมาคลี ถูกพวกลิงบันดาลกพาตัวไปทาง “วังเย็น” โดยมี “มัง” ซึ่งเป็นฝูงค้างคาวคอยติดตามดูอยู่ ให้ทั้งสองตามฝูงค้างคาวไป
หมีเฒ่าบาลู และเสือดำบาเคียร่า รู้ว่าลำพังครูทั้งสองไม่สามารถจะช่วยเหลือเมาคลีได้ ดังนั้นสิ่งที่บันดาลิงบันดาลกเหล่านั้น กลัวที่สุดคือพญางูเหลือมคาร์ ทั้งสองจึงรีบเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากพญา
งูเหลือมคาร์ ซึ่งขณะนั้นงูเหลือมคาร์ เพิ่งจะลอกคราบเสร็จใหม่ๆ อีกทั้งบังเอิญเพิ่งจะกินอาหารอิ่ม ด้วยความอ่อนเพลีย พญางูเหลือมคาร์ จึงตอบปฏิเสธบาลู และบาเคียร่า ไป
ภาคที่ 2 ลักพาเมาคลี ตอนที่ 3 ช่วยเมาคลี
ครั้นเมื่อครูทั้งสองของเมาคลีได้รับการปฏิเสธจากพญางูคาร์ อย่างนั้น จำต้องยั่วยุเพื่อให้เพื่อนโกรธและรำคาญจึงช่วยกันรุมประณามพญางูเหลือมคาร์ ว่าเป็น งูเผือกจอมขี้เกียจ เป็นไส้เดือนเหลืองแก่ๆ เป็นหนอนโจไต๋ตกต้นชา ทำให้พญางูเหลือมคาร์ เกิดความรำคาญจึงรับปากหมีเฒ่าบาลู และเสือดำบาเคียร่า ว่าจะไปช่วยเมาคลี แล้ว ทั้งสามสหายพากันไปที่ “วังเย็น” ซึ่งเป็นเมืองร้างอยู่กลางป่าทันที เหล่าฝูงลิงบันดาลก ซึ่งมักจะอาศัยรวมตัวกันอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ ครั้นเมื่อลักพาเมาคลีมาได้แล้ว ต่างก็ดีใจกระโดดโลดเต้นแสดงความยินดี
หมีเฒ่าบาลู เสือดำบาเคียร่า พร้อมทั้งพญางูเหลือมคาร์ เมื่อมาถึงวังเย็น ขณะที่ทั้งสามกำลังตามหาเมาคลีอยู่นั้น บรรดาลิงบันดาลก เมื่อรู้ข่าวว่ามีผู้มาตามหาเมาคลี จึงพาเมาคลีไปซ่อนไว้ในห้องที่มีงูพิษมากมาย แต่เมาคลีที่สามารถพูดภาษางูได้จึงไม่ได้รับอันตรายจากงูพิษ ส่วนพญางูคาร์ ค้นหาเมาคลีด้วยการใช้หัวอันแข็งแรงของเขา กระแทกกำแพงเพื่อเปิดทางเข้าไปช่วยเมาคลี ทางด้านบรรดาฝูงลิง บันดาลก เมื่อเห็นดังนั้นต่างพากันกลัวพญางูคาร์จนตัวสั่น ซึ่งขณะนั้นเอง พญางู ได้เริ่มร่ายรำเป็นท่วงทำนองอันสวยงาน ด้วยท่าร่ายรำของพญางูคาร์นั้นมีพลังอำนาจสามารถสะกดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หยุดนิ่ง สัตว์ตัวใดที่อยู่ในรัศมีการร่ายรำของพญางูคาร์ จะเคลิบเคลิ้มและเดินเข้าไปเป็นอาหารให้แก่พญางูเหลือมคาร์ ซึ่งเหล่าบรรดาลิงบันดาลก ก็เช่นกัน ครั้นเมื่อตกอยู่ในอำนาจสะกดของพญางูคาร์แล้ว ต่างก็ทยอยเดินเข้าไปเป็นอาหารให้กับพญางูเหลือมคาร์ จนหมดสิ้น
ขณะที่พญางูเหลือมคาร์ กำลังร่ายรำสะกดบรรดาลิงบันดาลกอยู่นั้นเอง หมีเฒ่าบาลู และเสือดำบาเคียร่า ซึ่งไม่เคยเห็นการร่ายรำของพญางูคาร์มาก่อน จึงพากันจ้องมองด้วยความสนใจจนต้องมนต์สะกดของพญางูคาร์เข้าไปด้วย ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปเพื่อเป็นอาหารของพญางูคาร์นั้นเอง เมาคลีซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงเข้าไปกระชากทั้งสองให้รู้สึกตัว เพื่อให้ฟื้นคืนสติรอดพ้นจากการเป็นอาหารของพญางู
จบตอนลักพาเมาคลี
หลังจากช่วยเมาคลีออกมาได้แล้ว เมาคลียอมรับผิดที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของบารู และบาเคียร่า ที่ห้ามไม่ให้คบค้าสมาคมกับลิงบันดาลก ดังนั้นเมาคลีจึงต้องถูกทำโทษตามกฎของป่า ครั้นแล้ว ทั้ง 3 คือเมาคลี บาลู และ บาเคียล่า จึงพากันเดินทางกลับไปยังถิ่นของตน
สำหรับเมาคลีนั้นมีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องฆ่าเจ้าเสือแชร์คานให้ได้ เมาคลีหวนนึกถึงคำพูดของพญางูคาร์ ที่เคยเล่าให้เขาฟังว่า มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งชื่อว่าถ้ำพญางูขาว เป็นถ้ำมหาสมบัติ ในนั้นสวยงามมาก มีเพชรนิลจินดามากมายโดยมีพญางูขาวคอยดูแลอยู่ การที่จะฆ่าเจ้าเสือแชร์คานให้ได้นั้น ต้องใช้เขี้ยวของพญางูขาวเพื่อนำไปฆ่าแชร์คานจึงจะสำเร็จ เมาคลีจึงหวังว่าจะต้องไปยังถ้ำแห่งนี้ให้จงได้
ภาคที่ 3 อวสานแชร์คาน
ความเดิมตอนที่แล้ว เมาคลีถูกลิงบันดาลกลักพาตัวขึ้นไปไว้
ที่วังเย็น หวังแต่งตั้งให้เมาคลีเป็นหัวหน้าฝูง ครั้นหมีเฒ่าบาลู และเสือดำบาเคียร่า รู้ข่าวจึงชักชวนพญางูเหลือมคาร์ ไปช่วยเมาคลี พญางูร่ายรำทำให้ลิงบันดาลกต้องมนต์สะกด ยอมเดินเข้าไปเป็นอาหารให้กับ พญางูคาร์ จนหมดสิ้น แล้วทั้งหมดเดินทางกลับสู่ป่า
ตอนที่ 1 ถ้ำพญางูขาว
เมาคลียังฝังใจอยู่กับคำบอกเล่าของพญางูเหลือมคาร์ เรื่องของความมหัศจรรย์ในถ้ำพญางูขาว เมาคลีจึงพยายามอ้อนวอนพญางูคาร์ ให้พาตนไปวังเย็นอีกครั้ง เพื่อชมความมหัศจรรย์ของวังเย็น พญางูคาร์ ทนการรบเร้าของเมาคลีไม่ไหว จึงใจอ่อนยอมพาเมาคลีขึ้นไปวังเย็น
ภายในถ้ำพญางูขาว จะมีงูเห่าเผือกตัวใหญ่คอยเฝ้าดูแลสมบัติที่อยู่ในถ้ำนั้นมาอย่างยาวนาน แต่ก่อนที่จะเข้าไปถึงตัวของพญางูขาวได้นั้น ทั้งสองต้องผ่านยักษ์ตนหนึ่งที่คอยดูแลความปลอดภัยอยู่ที่ปากถ้ำ
ครั้นเมื่อเมาคลีและพญางูคาร์ มาถึงปากถ้ำจึงได้พบกับยักษ์ตนนี้ เมาคลีและพญางูคาร์ ได้พูดคุยกับยักษ์ที่เฝ้าปากถ้ำว่าจะมาขอชมบารมีของพญางูขาว เพื่อให้เป็นขวัญตา ยักษ์เห็นว่าเมาคลีและพญางูเหลือมทั้งสองมาอย่างเป็นมิตรจึงยอมให้ทั้งสองเข้าไปพบพญางูขาวในถ้ำได้ โดยยักษ์รับอาสานำทางเข้าไป ครั้นเมื่อทั้งสองได้พบกับพญางูขาว ต่างก็สนทนากันเปรียบเสมือนปิยมิตรที่คบหากันมานาน จนเกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ครั้นเมื่อเมาคลีจะกลับ พลันเมาคลีเห็นของ้าวประดับเพชร ช่างมีความงดงามยิ่งนัก จึงอยากได้ไว้ครอบครอง แต่พญางูเหลือคาร์ได้เตือนสติเมาคลีว่า ของ้าวประดับเพชรด้ามนี้มีอาถรรพ์ ผู้ใดที่ครอบครองจะประสบกับความหายนะ แต่อย่างไรก็ตาม เมาคลีก็ยังอยากได้อยู่ดี จึงพยายามอ้อนวอนแก่พญางูขาวเพื่อให้มอบของ้าวประดับเพชรด้ามนี้ให้แก่ตน ในที่สุดเมาคลีก็ได้ของ้าวประดับเพชรด้ามนั้นมาครอบครอง โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากพญางูเหลือมคาร์และพญางูขาว
ครั้นเมื่อทั้งสองเดินทางกลับมาถึงที่พัก เมาคลีจึงนำของ้าวประดับเพชรด้ามนั้นไปอวดแก่ บาลู และบาเคียร่า ซึ่งเช่นเดิมเมาคลีถูกทัดทานจากเสือดำบาเคียร่า ของ้าวประดับเพชรนี้มีอาถรรพ์ ผู้ใดที่ครอบ ครองจะพบกับความหายนะ เมาคลีนึกถึงครั้งที่ตนเองเคยไม่เชื่อฟังคำสอน ของครูอาจารย์ทำให้ต้องเดือดร้อนมาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ถ้าไม่เชื่อฟัง
คำสอนของครูอีกก็อาจจะมีภัยมาสู่ตนเป็นครั้งที่สองก็เป็นได้ จึงตัดสินใจขว้างทิ้งเสีย
ของ้าวประดับเพชรถูกขว้างทิ้งไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนเก็บได้และหวังจะครอบครองของ้าวนี้ จนเกิดการแย่งชิงและฆ่ากันตายถึง 6 คน เมาคลีรู้ข่าวดังนั้นจึงรู้สึกเสียใจมาก เพื่อให้อาถรรพ์ทั้งหลายจบลง จึงตัดสินใจนำของ้าวประดับเพชรไปคืนไว้ที่ถ้ำพญางูขาวดังเดิม
ภาคที่ 3 อวสานแชร์คาน ตอนที่ 2 สาปแช่งแชร์คาน
เหตุการณ์ต่างๆ ได้ล่วงเลยมาเป็นเวลานาน นับจากผืนป่าที่แห้งแล้ง สู่ป่าที่มีความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ ลูกหมาป่าทุกตัวเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ บัดนี้เมาคลีมีอายุได้ 13 ปี เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความเฉลียวฉลาดและความโอบอ้อมอารี จึงเป็นที่รักของสัตว์ต่างๆ ในป่าแห่งนี้ เนื่องจากความเป็นมิตร และความโอบอ้อมอารีของเมาคลี ที่มีต่อสัตว์ป่าทุกตัว
จากสถานการณ์ดังกล่าวยิ่งทำให้แชร์คานเพิ่มความเกลียดชังเมาคลีเพิ่มขึ้น จึงใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะกำจัดเมาคลีให้ออกไปจากฝูงหมาป่า การสร้างความแตกแยกในฝูงหมาป่า การยั่วยุเหล่าหมาป่าทั้งหลายให้เกลียดชังเมาคลี โดยยกประเด็นว่าเมาคลีเป็นผู้มีเวทย์มนต์ ดวงตาข้างซ้ายของเมาคลีสามารถสะกดสัตว์ทุกตัวให้สงบนิ่งได้ (ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง เมาคลีได้เรียนเรื่องพลังอำนาจจิตมาจากพญางูเหลือมคาร์) ทำให้เหล่าสัตว์ต่างๆ ไม่กล้าจ้องตาเมาคลี แม้แต่หมีเฒ่าบาลู และเสือดำบาเคียร่า ก็ตาม
แผนการยั่วยุเหล่าบรรดาฝูงหมาป่าเป็นผล หมาป่าในฝูงหลายตัวเกิดความสับสน ประกอบกับจ่าฝูงอาเคล่า หมีเฒ่าบาลู และเสือดำบาเคียร่า ต่างมีสังขาลร่วงโรยไปตามวัยแล้ว ในขณะที่แชร์คานมีความต้องการที่จะเป็นหัวหน้าแห่งผืนป่า ซึ่งตราบใดถ้าจ่าฝูงอาเคล่ายังมีชีวิตอยู่ แชร์คานก็ยังไม่อาจขึ้นเป็นหัวหน้าแห่งป่านี้ได้ แน่นอนที่สุดหากอาเคล่า ถูกปลดจากตำแหน่งหรือตายไปเสีย กฎแห่งป่าจำเป็นต้องมีผู้นำ แชร์คานตระหนักถึงจุดอ่อนนี้ดี จึงพยายามยั่วยุหมาป่าวัยหนุ่มให้ลอบฆ่าอาเคล่าเสีย และแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นประธานหมาป่า ซึ่งถ้าไม่มีใครทำเช่นนั้นแล้ว อาเคล่า อาจยกตำแหน่งประธานหมาป่าให้กับมนุษย์ซึ่งไม่ใช้เชื้อสายเผาพันธุ์ของหมาป่าแม้แต่น้อย ทางฝ่ายหมีเฒ่าบาลู เสือดำบาเคียร่า ระแคะระคายเรื่องนี้มาโดยตลอดจึงพยายามเตือนเมาคลีให้ระวังตัวอยู่เสมอ และยังบอกให้เมาคลีลักลอบเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปนำดอกไม้แดง (คบไฟ หรือไม้ฟืนที่มีไฟติดอยู่) มาเก็บไว้เพื่อเป็นอาวุธป้องกันตัว
ในที่สุดเหตุการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นจริงตามรางสังหรของหมีเฒ่า คืนนั้นเป็นคืนเดือนเพ็ญ ณ ผาประชุม เหล่าฝูงหมาป่าถูกแบ่งออกเป็น 2 พวกอย่างชัดเจน พวกแรกคือพวกที่จงรักภักดีต่ออาเคล่า ส่วนอีกพวก คือพวกที่ต้องการจะล้มอำนาจของอาเคล่า และจะตั้งตัวเองขึ้นเป็นใหญ่ หมาป่าหนุ่มพวกนี้ไม่เคารพยำเกรงอาเคล่า พร้อมที่จะฆ่าอาเคล่าให้ตาย และขับไล่เมาคลีออกจากฝูงหมาป่า
เมาคลีซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ เห็นพฤติกรรมของหมาป่าหนุ่มเหล่านั้นโดยตลอดจึงนำดอกไม้แดงออกมาแล้วประกาศก้องว่า “เจ้าหมาป่าหน้าโง่ หลงเชื่อคารมของเจ้าเสือแก่ขาเป๋ ที่คอยแต่จะนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่พวกเรา ดูซิ! ร่องรอยของความเลวร้ายยังปรากฏอยู่ตามตัวของมัน เจ้ายังเชื่อมั่นในตัวมันอีกหรือ” เมาคลีชูดอกไม้แดงขึ้นพร้อมกับประกาศกร้าวว่า “เข้ามาซิ! ใครจะเข้ามาฆ่าอาเคล่า บาลู หรือบาเคียร่า ก็จงเร่งเข้ามา ข้าจะให้เจ้าได้ชิมรสของดอกไม้แดงนี้”พูดพลางเมาคลีก็ตวัดกวัดแกว่งคบไฟไปมา ครั้นเมื่อเปลวไฟตกไปที่ใดแล้ว ที่นั้นก็จะเกิดไฟลุกโชติช่วงไปทั่วบริเวณ เหล่าหมาป่าหนุ่มและแชร์คานต่างตกตลึง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะนั้นเองเมาคลีจึงตรงเข้าไปจับหนวดของเสือโคร่งแชร์คานช่างยุแล้วดึงอย่างแรง พลางไล่แชร์คานไปให้พ้นจากผาประชุม พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ครั้งนี้ข้าเพียงสั่งสอนเจ้าเท่านั้น ครั้งต่อไปถ้าข้ารู้ว่าเจ้ายังมายุ่งกับฝูงหมาป่าอีก ข้าจะถลกหนังของเจ้ามาดูเล่นเสีย” พลางเมาคลีก็เอาดอกไม้แดงจี้ไปที่ขนของแชร์คาน ทางฝ่ายแชร์คานซึ่งมีความกลัวดอกไม้แดงนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อถูกเมาคลีเอาไฟจี้ไปที่ตัวดังนั้นจึงร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ ครั้นเมื่อเมาคลีปล่อยหนวดของมัน แชร์คานก็หันหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เหล่าฝูงหมาป่าที่เหลือ เมื่อได้สติต่างพากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง เพียงชั่วพริบตาผาประชุมแห่งนี้ก็สงบลง คงเหลือแต่อาเคล่าผู้เป็นประธาน หมีเฒ่าบาลู เสือดำบาเคียร่า พ่อ-แม่ พร้อมทั้งลูกหมาป่าอีก 4 ตัว และเมาคลี
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เมาคลีต้องคิดใหม่ว่ายังมีหมาป่าอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมรับในตัวเมาคลี รวมถึงตัวเขาเป็นสาเหตุทำให้หมาป่าเกิดความแตกแยกขึ้นภายในฝูง เมาคลีจึงตัดสินใจลาครู และครอบครัวหมาป่ามุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านเพื่อไปอยู่ร่วมกับมนุษย์ โดยไม่ยอมฟังเสียงทัดทานใดใดทั้งสิ้น และให้สัญญาว่าจะเป็นผู้ห้ามไม่ให้มนุษย์เข้ามาล่าสัตว์ในบริเวณนี้อย่างเด็ดขาด และให้คำมั่นว่าจะกลับมาหาพวกเขาอีก
ในหมู่บ้านมนุษย์ เมาคลีถูกมองเป็นตัวประหลาด เป็นคนครึ่งสัตว์ที่ไม่สามารถสื่อภาษากับมนุษย์ผู้ใดได้เลย เมาคลีเดินไปตามเส้นทางในหมู่บ้านอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง โดยไม่แยแสต่อสายตาของผู้คนที่ตามแห่ไปดูเมาคลี พร้อมทั้งแสดงอาการเหยียดหยามล้อเลียน
ด้วยความเหนื่อยล้า และหิวกระหายเมาคลีจึงหยุดพักที่หน้าบ้านของนางเมสซัวร์ เศรษฐีผู้มีอันจะกินของหมู่บ้าน ซึ่งประวัติครอบครัวนี้ลูกของนางได้ถูกเสือคาบไปเมื่อหลายปีก่อน จนกระทั้งปัจจุบันนางยังคงตกอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจตลอดเวลา ครั้นเมื่อนางออกมาพบกับ
เมาคลีซึ่งกำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่หน้าบ้านของนาง ทำให้นางคิดถึงบุตรชายที่จากไป นางจึงเกิดความสงสาร และขอรับเป็นผู้เลี้ยงดูเมาคลี โดยตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “นาซู”
นาซู หรือ เมาคลี ได้รับความเมตตา และอาศัยอยู่กับนางเมสซัวร์ เมาคลีได้มีโอกาสศึกษา เล่าเรียน แต่ด้วยความเคยชิน เมาคลีมักแสดงพฤติกรรมแปลกๆ ออกมาเสมอๆ เช่น การนอนเกลือกกลิ้งไปกับ
พื้นหญ้า เนื่องจากยังไม่คุ้นชินกับการนอนในบ้าน หลายครั้งเมาคลีมักจะออกมาอยู่ลำพังนอกบ้าน หรือเดินเล่นตามชายป่าอยู่เนืองๆ จนวันหนึ่งเมาคลีได้พบกับ “เกรี” หนึ่งในสมาชิกครอบครัวหมาป่าของตน จากนั้น เกรีมักจะคอยส่งข่าวเรื่องในป่าให้กับเมาคลีฟังเสมอๆ โดยเฉพาะเรื่องของแชร์คานซึ่งยังมีความพยายามที่จะหาโอกาสฆ่าเมาคลีให้ได้
ภาคที่ 3 อวสานแชร์คาน ตอนที่ 2 สาปแช่งแชร์คาน (ต่อจากตอนที่แล้ว)
วันหนึ่ง ขณะที่เมาคลีนำควายไปเลี้ยงที่ชายป่า พลันเขาได้เห็นแชร์คานกำลังซุ่มดูเมาคลีอยู่ไม่ไกลนัก จึงได้ร่วมกับพี่น้องครอบครัวหมาป่าออกอุบายฆ่าแชร์คาน โดยให้เกรี ต้อนควายตัวเมียไปทางซอกเขาอีกฟากหนึ่ง ส่วนเมาคลีจะขึ้นขี่ควายจ่าฝูงชื่อว่า “รามา” พร้อมฝูงควายตัวผู้ ค่อยๆ ต้อนแชร์คานไปหยุดอยู่กลางซอกเขาแคบๆ ทางซ้ายและขวาของซอกเขาเป็นผาสูงชัน ไม่สามารถปีนหรือไต่ขึ้นไปได้ โดยเหล่าฝูงควายตัวผู้อยู่ปากทางซอกเขาฟากหนึ่ง ตรงข้ามกับฝูงของ “เกรี” ครั้นเมื่อแชร์คานถูกต้อนไปถึงกลางซอกเขาแล้ว “อาเคล่า” และฝูงหมาป่าต่างเปล่งเสียงเห่าหอนขึ้นพร้อมกัน ทำให้ควายทั้งหมดที่อยู่ปากทางซอกเขาทั้งสองฝั่งต่างตื่นตกใจ จึงพากันวิ่งมารวมตัวกันที่กลางซอกเขาเพื่อป้องกันอันตรายให้กับฝูงของตน ในขณะที่ควายทั้งสองวิ่งเตลิดเข้าหากันด้วยความตกใจนั้นเอง แชร์คานซึ่งขณะนี้ตกอยู่ระหว่างฝูงควายทั้งสองฝั่งที่กำลังตื่นตกใจและวิ่งเข้าหากันด้วยความเร็ว แชร์คานไม่สามารถจะหลบหลีกไปทางไหนได้เลย เนื่องจากทั้งสองข้างเป็นผาชันจึงถูกควายที่กำลังตื่นตกใจเหยียบเข้าตามลำตัวครั้งแล้วครั้งเล่า แชร์คานได้รับความเจ็บปวดสุดแสนจะทรมานและขาดใจตายในที่สุด
หลังจากความตื่นตระหนกของฝูงควายสงบลง ร่างอันปราศจากวิญญาณของแชร์คานที่ถูกควายเหยียบจนกระดูกแตกแหลกเหลวติดดินนอนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางฝูงควาย เมาคลีจึงได้จัดการถลกหนังแชร์คานเพื่อนำไปปู ณ ผาประชุมตามที่ได้ลั่นวาจาไว้กับฝูงหมาป่า เพื่อสาปแช่งความชั่วร้ายของแชร์คาน
ครั้นถึงคืนเดือนเพ็ญ เมาคลีนำหนังของแชร์คานมาปูที่ผาประชุม อาเคล่า ส่งเสียง (หอน) เพื่อเรียกหมาป่าทั้งหลายให้มาที่ผาประชุมแห่งนี้ ครั้นเมื่อเปิดผาประชุม หมาป่าทุกตัวต่างพร้อมใจกันยอมรับและยกให้เมาคลีเป็นหัวหน้าฝูงของพวกตน แต่ทว่าเมาคลีปฏิเสธการเป็นหัวหน้าฝูง โดยให้เหตุผลว่าครั้งหนึ่งเขาได้ถูกสมาชิกหมาป่าขับไล่ให้ออกจากฝูง ที่เมาคลีมา ณ สถานที่แห่งนี้มิได้เพื่อจะมาเป็นหัวหน้าฝูง แต่มาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับฝูงหมาป่า ต่อแต่นี้ไปเมาคลีขออยู่เพียงลำพัง
ด้วยความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของเมาคลีทำให้ที่ประชุมเงียบสนิทไม่มีสมาชิกตัวใดกล้าออกความเห็น ด้วยประจักษ์พยานผืนหนังร่างของแชร์คาน ที่ถูกปูลาดอยู่บนแท่นหินเบื้องหน้าผาประชุมแห่งนี้ ย่อมยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของเมาคลีได้เป็นอย่างดี
จบบริบูรณ์
ขอขอบคุณ
ร.ต.สมบูรณ์ สิงห์มนัส
ที่ได้มอบสาระน่ารู้เกี่ยวกับความเป็นมาของนิทานสนุกๆและลูกเสือสำรอง
ให้กับ เบญจวรรณ ปานอ้น
www.ของขวัญประดิษฐ์.com